Chapter 2
มารู้จักธรรมชาติของข้อสอบ TOEIC กัน
หลายๆ ท่าน มีชะตากรรมผูกกับคะแนน TOEIC บางท่านอาจแหยง ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การสอบ เพียงเพราะมันเป็นข้อสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษ บางท่านสอบหลายรอบจนเบนเป้าหมาย … จริงๆ แล้ว ข้อสอบ TOEIC คืออะไร สอบไปเพื่ออะไร หน้าตาเป็นแบบไหน แล้วมันยากอย่างที่เขาว่า หรือแค่ราคาคุย ทำไมผมถึงจัดเป็นข้อสอบที่เพิ่มคะแนนได้เร็วที่สุด มาดูกัน
TOEIC หรือ the Test of English for International Communication ถูกพัฒนาขึ้นโดย ETS หรือ Educational Testing Service โดยถูกนำมาใช้ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นในปี 1979 (จึงไม่น่าแปลกใจที่หนังสือเตรียมสอบและข้อสอบใน version ภาษาญี่ปุ่น หลายๆครั้ง พบว่ามีความแม่นยำ หรือใกล้เคียงกับข้อสอบจริงในประเทศไทยมากๆ และจะรออะไรอยู่ล่ะ! อาจารย์ก็นำความแม่นยำเหล่านั้นมาไว้เป็นข้อสอบเสริมใน Exam Series ช่วงท้ายของคอร์ส ที่จะเราจะได้ฝึกข้อสอบจริงถึง 10 ชุด ครอบคลุมลูกเล่นทุกประเภท) ปัจจุบันถูกใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก มีผู้สอบแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน
และแน่นอน ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะครับว่าเป็น English for International Communication จึงจัดอยู่ในประเภท General English ที่ถูกใช้ในการสื่อสารทั่วๆไป ในที่ทำงานหรือแวดวงธุรกิจและในชีวิตประจำวันครับ ข้อสอบ TOEIC จึงถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ของการทำงานเป็นหลัก ซึ่งต่างจากข้อสอบประเภท TOEFL, IELTS, CU-TEP หรือ TU-GET ที่ถูกจัดอยู่ในประเภท Academic English จึงมีการลงลึกในสาขาวิชาต่างๆ และเราก็เลือกไม่ได้ด้วยสิ ว่าเราจะเรียนทางด้าน Arts แต่เราก็ต้องเจอบทความทางด้าน Science หรือ Medical Issue ซึ่งแน่นอน การที่เราไม่ถนัดบทความในประเภทนั้นๆ เราต้องเตรียมตัวหนักขึ้นมาก ทั้งในเรื่องของคำศัพท์ที่ลึกกว่าและหลากหลายกว่า และความคุ้นเคยกับ Technical Term และการตีความในบทความเหล่านั้น
…. เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งต่อว่าต่อขานอาจารย์ว่า พูดถึงข้อสอบ TOEIC จะออกนอกเรื่องไปที่การสอบอื่นๆ ทำไมเนี่ย คือกำลังพยายาม encourage เบื้องต้นครับว่าการเตรียมตัวสอบ TOEIC เราลด Workload ไปได้เยอะมากๆ นะครับ เรา Focus ได้เป๊ะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นหมวดหมู่คำศัพท์ที่ต้องเตรียมที่น้อยกว่าเห็นๆ รูปแบบและ Pattern การฟัง การอ่าน ที่เดาทางจับทางได้ง่ายๆ ที่สำคัญมันคือเรื่องทั่วๆ ไปที่พบในชีวิตประจำวัน ซึ่งแน่นอนหากใครได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆ ในที่ทำงาน ในสถานศึกษา เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ การทำคะแนน TOEIC ในระดับ 600+ ดูจะเป็นเรื่องกล้วยๆ หรือขัดเกลาเข้าใจธรรมชาติและวิธีจัดการกับข้อสอบสักหน่อย ก็เพิ่มคะแนนขึ้นไปได้ไม่ยากเย็นนัก
แต่ก็อย่างที่บอก TOEIC มันเป็นข้อสอบที่เตรียมได้ และเตรียมง่าย เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราจะยอมแพ้ทำไมล่ะ จะยอมให้ภาษาอังกฤษตัวเดียว บั่นทอนความฝัน หรืออนาคตเราทำไม เปิดใจและค่อยๆ เดินไปด้วยกันครับ
ข้อสอบ TOEIC มีแค่ 2 Part เท่านั้นคือ Reading และ Listening จำนวนข้อเท่ากันเป๊ะ คืออย่างละ 100 ข้อ และคะแนนก็เท่ากันเป๊ะๆ คือ 495 คะแนน เท่ากับว่า เราต้องทำทั้งหมด 200 ข้อ และคะแนนเต็มคือ 990 คะแนนครับ
ใช้เวลาในการสอบทั้งหมดประมาณ 2.5 ชั่วโมง และข้อสอบเป็น Multiple Choice Question ทั้งหมดครับ โดยมี 4 ตัวเลือก และไม่มีการหักคะแนนหากตอบผิดด้วยครับ
โดยการ Convert คะแนน บางคนเข้าใจว่า เอาจำนวนข้อที่ทำได้และคูณด้วย 5 เท่ากับว่า มีข้อที่แจกเราฟรี 2 ข้อ การคำนวณลักษณะนี้ทำได้แค่คร่าวๆ ครับ อันที่จริงการ convert คะแนนของ ETS สำหรับข้อสอบ TOEIC นั้น จะมีการเทียบด้วยการใช้ค่าสัมประสิทธิ์ซึ่งแต่ละชุดจะไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับผลสำรวจค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ผู้สอบทำได้ในข้อสอบชุดนั้นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความยากง่ายที่ต่างกัน (เพียงเล็กน้อยครับ) และกราฟการ Convert คะแนน TOEIC ก็จะมีความชันน้อยลงเรื่อยๆ ครับ พูดง่ายๆ คือ คะแนนจะดูว่าขึ้นเร็วในช่วงแรก และเมื่อไปถึงคะแนนระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จะเพิ่มช้าลง เหมือนกำลังต้องการบอกเราว่า การที่คุณจะเปลี่ยนจากคำว่า “แย่” ไปเป็น “พอใช้” หรือ “พอใช้” ไปเป็น “ดี” ย่อมง่ายและใช้ความพยายามน้อยกว่า การเปลี่ยนจากคำว่า “ดี” เป็น “ดีมาก” หรือ “ยอดเยี่ยม” (เรื่องแปลงคะแนน และตารางแปรงคะแนน จะพูดถึงอีกครั้งนะครับ)