TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities
TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities
TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities

MENU TOEIC Reading

ENG ME UP CHANNEL

Share :

Chapter 3

ข้อสอบ TOEIC ในแต่ละ Part มีโครงสร้างอย่างไร

     Listening Part 100 ข้อ โอ้ว ยาวอะไรปานนั้น TOEIC เป็นข้อสอบที่ต้องใช้สมาธิอย่างสูงส่ง แต่กลับพัฒนาคะแนนได้เร็ว Reading Part อีก 100 จริงๆ มันยากหรือเพราะมันเยอะ ไส้ในเป็นยังไง ไปรู้จักข้อสอบ TOEIC ให้ลึกขึ้นกันดีกว่า

Listening Part สมาธิสำคัญไฉน

     เข้าห้องสอบมาก็เจอ Listening Part เลย และ TOEIC เป็นข้อสอบที่มีส่วน Listening เยอะที่สุดในบรรดาทุกข้อสอบครับ คือ 100 ข้อ หรือ 50% ของทั้งหมด ฟังกันหูตูบไปเลยเกือบ 1 ชั่วโมง โหดหินในเรื่องของสมาธิที่ต้องจดจ่อมากๆ หลุดไม่ได้เลย หลุดปุ๊ป หายไป 2-3 ข้อ ดังนั้นตั้งสติกันดีๆ

     แต่ข่าวดี คือ ฟังไม่ยากครับ ศัพท์ไม่ยาก จับใจความไม่ยาก Pattern การออกข้อสอบรวมถึงการวาง Choice ค่อนข้างชัด เพราะฉะนั้น Key ความสำเร็จคือ การเตรียมตัวก่อนฟัง และเทคนิคเพิ่มสมาธิจดจ่อกับการฟัง รวมถึงการกำจัด Choice หลอก ดังนั้น Part นี้ นักเรียนจะทำคะแนนขึ้นกันได้เร็วมากเมื่อเทียบกับ Reading Part ที่ต้องมีทั้งโครงสร้าง แกรมม่า คำศัพท์ และการอ่านไวราวซูเปอร์แมน

แล้วใน 100 ข้อ เจออะไรบ้างล่ะ
Listening Section แบ่งออกเป็น 4 Parts ย่อย ดังนี้ครับ

  • Part 1: Photograph   6 Questions
  • Part 2: Question – Response   25 Questions
  • Part 3: Conversations   39 Questions
  • Part 4: Talks   30 Questions

     ในแต่ละ Part มี Direction และ Strategy ต่างกัน เราจะไปลงลึกกันภายหลังต่อไปครับ

Reading Part ถึกเท่านั้นที่ครองโลก

     หลังจากมึนกับ Listening มา 100 ข้อ ก็มาผจญภัยกับข้อสอบ Reading Part ต่ออีก 100 ข้อ ให้เวลา 75 นาที เฉลี่ยข้อละ 45 วินาทีเท่านั้น .. ถึกกันไปข้างนึง และ Reading Part ไม่ใช่แค่วัดความแม่นยำ แต่ยังเป็น Speed Test ด้วย ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ คิด ขอเน้นๆ ทำไม่ทันแน่ๆ ขั้นตอนในการคิดจึงสำคัญมากๆ ครับ ขั้นตอนมีไว้เพื่อทำให้เราเข้าใจแยกแยะประเภทของโจทย์ว่าควรจัดการอย่างไร แต่ละข้อใช้เวลามากน้อยต่างกัน มัวลังเล จิ้มไปจิ้มมาก็ไม่ทัน ลุกไปเข้าห้องน้ำระหว่างทำข้อสอบยิ่งไม่ทัน ขนาดดินสอตกอาจารย์ยังไม่กล้าก้มเก็บเลย หยิบแท่งใหม่แล้วทำต่อเลย

  • Part 5: Incomplete Sentences   30 Questions
  • Part 6: Text Completion   16 Questions
  • Part 7: Reading Comprehension   54 Questions
    7.1 Single Passage    29 Questions (ใน 1 Passage ตอบคำถาม 2-4 ข้อ)
    7.2 Multiple Passages    25 Questions แบ่งเป็น
        >> อ่าน 2 Passages แล้วตอบคำถาม 5 ข้อ แบบนี้ 2 ชุด = 10 ข้อ
        >> อ่าน 3 Passages แล้วตอบคำถาม 5 ข้อ แบบนี้ 3 ชุด = 15 ข้อ

     ชื่อ Reading Part แต่จริงๆ แล้ว Part 5 และ Part 6 นั้น เป็นส่วนวัด Structure และ Vocabulary ต่างหาก ซึ่งมีถึง 46 ข้อทีเดียว และส่วนวัด Grammar จะมีมากกว่าส่วนวัดคำศัพท์ ใบ้ไว้ก่อน ว่าเป็นหัวใจของความสำเร็จใน Reading Part เลยล่ะ

     นอกจาก Grammar ที่จำเป็น คำศัพท์ที่ต้องเก็งต้องท่องกันแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ Part นี้ คือขั้นตอนการทำต้องชัดเจน (ตะลุยโจทย์กันภายหลังนะครับ) ขั้นตอนช่วยอะไร ขั้นตอนทำให้เราประหยัดเวลาในการคิด เนื่องจากเราจะเริ่มคิดจากส่วนที่สำคัญที่สุดตามที่โจทย์ถูกออกแบบ ซึ่งข้อสอบก็จะวางคำตอบตามสัดส่วนความสำคัญนี้ด้วย

     เรียกง่ายๆ ว่า เมื่อเราทำตามขั้นตอนเราก็จะเจอคำตอบเร็วขึ้นเป็นระบบมากขึ้น ได้คำตอบแล้วไปเลย ไม่มีลังเล ทำโดยไม่ต้องแปลได้ดีขึ้น และเมื่อคุ้นเคยกับโจทย์ไปสักระยะหนึ่ง เราจะสามารถแยกแยะโจทย์ได้ ว่าโจทย์ข้อไหนยากง่ายมากน้อยแค่ไหน และเราจะกำหนดกลยุทธ์การสอบได้ดียิ่งขึ้น (แล้วคุณจะสามารถแต่งโจทย์ข้อสอบสไตล์ TOEIC ได้เองเลยล่ะ)

     และที่สำคัญความพยายามเราจะไม่สูญเปล่า เราจะไม่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจุดเดิมๆ ต่างจากการทำข้อสอบเยอะๆ บางคนทำเยอะมาก แต่คะแนนก็ยังวนไปวนมา เพราะคุณไม่มีขั้นตอนที่ชัดเจนไง จึงวิเคราะห์ข้อสอบไม่ขาด และไม่ทราบจุดบกพร่องที่ชัดเจน ชุดไหนรู้มากก็ได้มาก รู้น้อยก็ได้น้อย และอาศัยจำว่าข้อสอบแบบนี้เคยทำมาแล้ว ซึ่งประเภทนี้น่าเสียดายนะครับ ส่วนใหญ่พอมาวิเคราะห์กันจริงๆ ข้อยากๆที่เป็นลูกเล่น จะได้คะแนน (เพราะจำได้ ทำมาเยอะ) แต่ข้อที่จริงๆ แล้งควรเป็น Based Score กลับพลาดโดยไม่รู้ตัวเลย

     ซึ่งความไวส่วนนี้ ขู่ไว้ก่อนว่าเรามีเป้าหมายในการทำ 46 ข้อนี้ ต้องให้เสร็จภายใน 20 นาที อย่าเพิ่ง โหววว! เพราะมันทำได้ อดทนหน่อย จากที่เคยใช้ความคุ้นๆ มันดูแปลกๆ แล้วทำเร็ว … เปลี่ยนเป็นค่อยๆ ดึง ค่อยๆ ขุด ใส่วิธีคิด แรกๆ ช้าหน่อย แต่เหมือนที่บอกเราจะแยกแยะข้อสอบได้ดีขึ้น มีกลยุทธ์ชัดเจน และไม่ผิดซ้ำ

ทำไมต้องรีบทำ 46 ข้อแรกซะขนาดนั้น …
เพื่อเก็บเวลาไว้ทำ 54 ข้อหลัง ซึ่งเป็นการอ่านจริงๆ อ่านทั่วๆไป และมันไม่ยากเลย แค่ต้องพอมีเวลาอ่าน อ่านประกาศ อ่าน Memo อ่าน Email อ่านจดหมาย Pattern ก็มี อาศัยตาไว Scanning เป็นหลัก … ส่วนนี้หลายๆ คนไม่ใช่ทำไม่ได้ครับ แต่ทำไม่ทัน 10 – 20 ข้อหลัง ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ทำด้วยซ้ำมีให้เห็นบ่อยที่สุด ดังนั้นหากเราทำ 46 ข้อแรกได้ภายใน 20 นาที เท่ากับว่าเราจะมีเวลาทำ Reading Comprehension ตกข้อละ 1 นาที ซึ่งเพียงพอแล้วครับ แล้วเดี๋ยวมาเจาะลึกกัน แล้วจะรู้เลยล่ะว่า ถ้าไม่ได้ทำ 54 ข้อนี้นะ มันน่าเสียดายมากๆ

แล้วงี้ทำ 54 ข้อนี้ก่อนเลยจะดีไหม …
ไม่แนะนำเลยครับ เพราะเมื่อเวลายังมีเยอะอยู่ หลายๆ คนจะใช้เวลากับ Part นี้เยอะ เพราะมันไม่ยาก เลยอยากเอาชัวร์ แล้วลองคิดดูว่าช่วงท้ายๆ เวลาก็บีบๆ แล้วต้องมานั่งคิดส่วนที่ต้องวิเคราะห์หนักๆ มันน่าจะแย่กว่านะครับ

เราต้องรู้จักคู่ต่อสู้ให้ดีก่อน แต่ละทัพใครเป็นแม่ทัพ ออกแบบการสู้รบมาอย่างไร?

มาเริ่มทีละทัพ เอ้ยทีละ Part กันเลยครับ

How to Use ENG ME UP Blog

Play Video

เนื่องจากเนื้อหา “Mini Book” เตรียมสอบ TOEIC มีความต่อเนื่องกัน อาจารย์แนะนำให้ศึกษาตามลำดับ โดยเริ่มจาก Chapter 1
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ

เนื่องจากเนื้อหา “Mini Book” เตรียมสอบ TOEIC มีความต่อเนื่องกัน อาจารย์แนะนำให้ศึกษาตามลำดับ โดยเริ่มจาก Chapter 1
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ