TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities
TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities
TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities

MENU TOEIC Reading

ENG ME UP CHANNEL

Share :

Chapter 30

บทส่งท้าย : Reading ต้องได้คะแนนเท่าไหร่ ถึงจะเรียกว่าถึงฝั่งฝัน

     ก่อนอื่นเราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนนะครับ ว่าเราต้องการคะแนนเท่าไหร่ ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนแล้ว เพื่อกำหนดกลยุทธ์และการเตรียมตัวที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละระดับคะแนน แต่เอ๊ะ! ถ้าเป้าหมายเราประมาณ 700 เราควรตั้งเป้าแต่ละส่วนไว้กี่ข้อกันล่ะ … แล้วที่เขาบอกว่าการคำนวณคะแนน TOEIC คือเอาจำนวนข้อไปคูณ 5 จริงหรือไม่ อ่านบทความนี้แล้วทุกคนจะร้อง “อ๋อ”

     ผมจะอยู่บนเป้าหมายคะแนน 700 ไว้ก่อนนะครับ โดยความเป็นจริงแล้ว คุณอาจได้คะแนน Part ใด Part หนึ่งสูงกว่า และไป Cover จุดอ่อนอีก Part นึงก็ได้ … แต่จริงๆ อยากให้ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่า แต่ละ Part ให้ได้ 350 ไว้ก่อน จะได้ไม่ไปเบียดเบียนอีก Part นึงครับ (โดยปกติ Listening จะทำคะแนนขึ้นไปได้ง่ายกว่า ทั้งในส่วนของการเทียบคะแนนที่มีโอกาสผิดได้มากกว่า)

     คะแนนดิบที่ควรตั้งเป้าหมายสำหรับ Reading Part เพื่อความชัวร์ ควรตั้งไว้ที่ 70 คะแนนดิบ (70 ข้อ) โดยแบ่งเป็นแต่ละ Part ดังนี้

  • Part 5 (Incomplete Sentences) + Part 6 (Text Completion) = 32/46 ข้อ
  • Part 7 Reading Comprehension = 38/54 ข้อ
จำนวนข้อแปลงเป็นคะแนน TOEIC อย่างไร?

     การ Convert คะแนน บางคนเข้าใจว่า เอาจำนวนข้อที่ทำได้และคูณด้วย 5 เท่ากับว่า มีข้อที่แจกเราฟรี 2 ข้อ การคำนวณลักษณะนี้ทำได้แค่คร่าวๆ ครับ เพราะคะแนนมักจะเฟ้อกว่าที่ควรจะได้ อันที่จริงการ convert คะแนนของ ETS สำหรับข้อสอบ TOEIC นั้น จะมีการเทียบด้วยการใช้ค่าสัมประสิทธิ์ซึ่งแต่ละชุดจะไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับผลสำรวจค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ผู้สอบทำได้ในข้อสอบชุดนั้นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความยากง่ายที่ต่างกัน (เพียงเล็กน้อยครับ) และกราฟการ Convert คะแนน TOEIC ก็จะมีความชันน้อยลงเรื่อยๆ ครับ พูดง่ายๆ คือ คะแนนจะดูว่าขึ้นเร็วในช่วงแรก และเมื่อไปถึงคะแนนระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จะเพิ่มช้าลง เหมือนกำลังต้องการบอกเราว่า การที่คุณจะเปลี่ยนจากคำว่า “แย่” ไปเป็น “พอใช้” หรือ “พอใช้” ไปเป็น “ดี” ย่อมง่ายและใช้ความพยายามน้อยกว่า การเปลี่ยนจากคำว่า “ดี” เป็น “ดีมาก” หรือ “ยอดเยี่ยม”

กล่าวคือ
ข้อสอบ TOEIC จะคิดเป็น Percentile ครับ โดยจะเปรียบเทียบว่า คะแนนเราอยู่ที่ระดับไหนจากผู้สอบทั้งหมด กล่าวคือทางผู้จัดสอบจะเอาคะแนนของเราไปเรียงลำดับจากผู้เข้าสอบทั้งหมดแล้วดูว่าเราอยู่ลำดับที่เท่าไรในแง่ของ percentage

     ยกตัวอย่างเช่น ถ้าการสอบครั้งนี้ยากมาก คะแนน 70 คะแนนคือสูงสุดแล้ว ถ้าเราได้ 70 คะแนน Percentile ของเราก็จะอยู่ที่ 99% ซึ่งหมายถึงเราได้คะแนนเต็ม ถ้าเทียบกับ TOEIC ก็คือเราได้คะแนนที่ 990 คะแนน

     นั่นหมายความว่า ไม่สามารถคิดคะแนนด้วยการ เอาจำนวนข้อ * 5 ได้นะครับ เพราะคะแนนจะแตกต่างจากความเป็นจริงพอสมควร

หน้าตาใบเทียบคะแนน TOEIC ส่วนใหญ่จะเทียบให้เราเป็นช่วงในลักษณะนี้ครับ

     อย่างไรก็ตาม ใบเทียบคะแนนจาก source ส่วนใหญ่ จะเทียบให้เราเป็นช่วงครับ นั่นคือการประมาณจากข้อมูลในอดีต ซึ่งจะค่อนข้างสับสนและประมาณคะแนน TOEIC ของตนเองได้ยาก เนื่องจากตารางดังกล่าว เป็นการหาช่วงโดยใช้ข้อมูลเชิงสถิติในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้น นักเรียนสามารถดูคะแนนของตนเองได้แม่นยำมากขึ้น ด้วย Score Conversion Sheet แผ่นนี้

     นั่นหมายความว่า ข้อสอบยอมให้เราผิดได้ระดับนึงก่อนที่จะเริ่มตัดคะแนน นั่นคือถ้าผิดแค่ไม่กี่ข้อก็อาจจะยังได้คะแนนเต็มอยู่นั่นเอง ซึ่งจะสังเกตว่า Listening Part มีโอกาสได้คะแนนที่ง่ายกว่า Reading Part ด้วยเช่นกัน

How to Use ENG ME UP Blog

Play Video

เนื่องจากเนื้อหา “Mini Book” เตรียมสอบ TOEIC มีความต่อเนื่องกัน อาจารย์แนะนำให้ศึกษาตามลำดับ โดยเริ่มจาก Chapter 1
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ

เนื่องจากเนื้อหา “Mini Book” เตรียมสอบ TOEIC มีความต่อเนื่องกัน อาจารย์แนะนำให้ศึกษาตามลำดับ โดยเริ่มจาก Chapter 1
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ