Mini Chapter 3
3 ขั้นตอน 3 Checklist ตอนที่ 1
เช็คคู่พระนางให้แม่น .. อะไรๆ ก็ง่ายลง
อย่าประมาท หาให้แม่น Verb แท้ (พระเอก) อยู่ไหน และ Subject ตัวหลักตัวเดียว (นางเอก) คืออะไร ทำให้ชัวร์ ทำให้ชิน ความสำเร็จขั้นแรก Error Detection แถมต่อยอด Reading Part อ่านสบายๆ ให้ได้คะแนนดีๆ แล้วคุณจะรู้ว่าพระเอกกำหนดทุกสิ่ง อยากทำอะไรเมื่อไหร่ (Tenses) ก็ต้องยอม
ขั้นตอนที่ 1: หา Subject และ Verb
หลายคนอาจทำอยู่แล้วนะครับ แต่ขออย่างละ 1 word เท่านั้นนะครับ … ต่อให้ Subject ยาวกันเป็นบรรทัดไม่สนครับ ขอตัวหลัก 1 ตัวเท่านั้นครับ ต้องเป๊ะ เมื่อหาได้แล้ว ใส่สัญลักษณ์ S ลงไปบนคำนั้น หลังจากนั้นหา Verb ต่อ แต่ขอเป็น Verb แท้เท่านั้นนะครับ เมื่อได้ Verb แท้ ก็ใส่สัญลักษณ์ V ลงไปบน Verb แท้ชุดนั้น
ได้ S and V อย่างถูกต้องแม่นยำ มันคือ ความสำเร็จขั้นแรกเลยนะครับ และเอาไปต่อยอดใน Reading Comprehension ได้ทุกประเภทข้อสอบเลยครับ ลองคิดดูสิครับ อ่าน Passage ยาวเป็นหน้า แท้จริงแล้ว มีแต่น้ำๆ ทั้งนั้น เนื้อๆ น่ะไม่มากนักหรอก และเนื้อๆ ก็อยู่ตรง S และ V ของเรานี่แหละ ดังนั้น ถ้าแยกแบบนี้ได้เก่งนะ คำถามแนว Main Idea/ Conclusion เราก็จะไม่พลาดครับ ไม่โดนพวกส่วนขยายซึ่งมันมีเยอะมากใน 1 Passage พาเราออกนอกเรื่องซึ่งสุดท้ายทำให้เราตอบคำถามแบบนี้ผิดนั่นเองครับ
ขั้นตอนที่ 2: Subject & Verb Agreement
Subject และ Verb เข้ากันไหม ต้องเช็คในมิติไหนบ้าง สำคัญที่สุดในโครงสร้างหลักของภาษาอังกฤษเลยครับ
ซึ่งหากเปรียบกับภาษาไทย มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ โดยในภาษาไทย เราจะใช้ Adverb เป็นตัวกำหนดลักษณะการเกิด หรือ เวลาเกิดทั้งหมด ครับ เช่น
ฉันกิน
ฉันกำลังกิน
ฉันกินแล้ว
ฉันยังไม่กิน
ฉันจะกิน
เห็นไหมครับ เราใช้ Adverb “กำลัง” “แล้ว” “ยัง” “จะ” มาเป็นตัวบอกว่าเกิดขึ้นอย่างไร Verb กิน ไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ แต่ภาษาอังกฤษ Adverb พวกนี้ แค่พระรองครับ พระเอกคือ Tenses เมื่อเราเห็นโครงสร้าง ต้องรู้ทันทีว่าเขาต้องการสื่อสารว่าเหตุการณ์เกิดยังไง
- เกิดไปแล้ว
- กำลังเกิด
- เกิดประจำสม่ำเสมอ
- เกิดอย่างต่อเนื่อง
- จะเกิดขึ้นในอนาคต แน่นอนขนาดไหน
ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเก่งครับ อย่าใช้ข้ออ้างว่า Tense นี้ ไม่ค่อยได้ใช้ ไม่ได้แล้วนะครับ ข้อสอบมีสิทธิ์ออกได้ทุก Tense ครับ เพราะเรื่อง Tense นี้ ฝรั่งเขาใช้กันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มาเรียนแตกลงไปแบบเรา
อย่าได้ห่วง อย่าได้กังวล อาจารย์โจได้คิดวิธีจำที่แสนง่าย ผ่านสมการ Tense (Tense Equation) … แล้วเราจะรู้ว่า 12 Tenses จำง่ายจะตาย แค่จำ 3 Tenses * 4 Aspects ให้ได้ หลังจากนั้นก็แค่เอามาตั้งบวกกันในสมการ เพื่อผสมให้ได้ Tense ใหม่ ที่ยาวขึ้น แต่ไม่ได้ยากขึ้นเล้ย ลองมาดูวิธีผสมกันง่ายๆ ในคลิปนี้ก่อนเลยครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ รู้วิธีแล้วอย่ารอช้าครับ ลองผสมสร้างโครงสร้างให้ครบทั้ง 12 Tenses กันดูดีกว่า ลองทำก่อนนะครับ แล้วมาดู Clip นี้กัน ว่าหน้าตาออกมาเหมือนกันหรือเปล่า
เมื่อเราจำโครงสร้างได้แม่นเป๊ะละ ทีนี้ก็ถึงเวลาเอามาใช้จริงกันแล้วล่ะ เราลองมาเรียนรู้การใช้งานจริงจาก 1 ประโยค โดยค่อยๆ เปลี่ยนโครงสร้างให้ครบ 12 Tenses แล้วมาดูกันว่า ลักษณะการเกิดมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย
เอาล่ะคร้าบ เมื่อจำโครงสร้างได้ ใช้เป็นกันแล้ว ทีนี้ ลองแต่งประโยคเป็นสไตล์ตัวเองเก็บไว้นะครับ ขำๆ ก็ดีนะ ผมมองว่า สุดท้ายแล้วมันต้องใช้ได้แบบอัตโนมัติครับ ดังนั้น ต่อไปเวลาเราจะใช้ก็ไม่ต้องมานั่งนึกโครงสร้างครับ นึกจากประโยคประจำตัวเราได้เล้ย
อย่างไรก็ตาม แต่ละ Tense อาจมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกลงไปอีกพอสมควรครับ ดังนั้นการเรียนรู้คงไม่ได้จบแค่ที่นี่ แต่ คือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เราไม่เกลียด เลิกกลัว การใช้ภาษาอังกฤษ และพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อยอดต่อไป
เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่อง Tenses ที่เราเกลียดกลัวกันนักหนา ง่ายลงไหมครับ อาจารย์โจอยากให้กำลังใจ และอยากให้เปลี่ยนมุมมอง อยากน้อยต่อการเริ่มต้นในการต่อยอดภาษาอังกฤษ … เมื่อเข้าใจหมดแล้ว อาจารย์โจทำ Summary สรุปทุก Tenses ไว้ ในแผ่นเดียว Download แล้วใช้เป็นจุดเริ่มต้นที่เรากำลังจะเก่งภาษาอังกฤษกันครับ
เอาละครับ พระเอกของเรื่องก็ผ่านไปแล้ว เรื่องอื่นๆ ก็จะมีมาฝากกันเรื่อยๆ นะครับ หรือ ถ้าใครอยากเรียนแบบ Brain Map เต็มรูปแบบ 10 + 5 ชั่วโมง คือเนื้อหา 10 ชั่วโมงเนี่ย รวมทั้งหมดทั้งมวลทีเราเรียนมาตลอดชีวิตครับ โดยค่อยๆ ประกอบชิ้นส่วนจากส่วนสำคัญมากไปน้อยครับ สุดท้ายเราก็จะมีประโยคภาษาอังกฤษจากง่ายๆ ไปซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง ลองดูตัวอย่าง Map รวมที่นี่ก่อนได้เลยครับ