Chapter 4
พระเอก นางเอก กิ่งทองใบหยก หรือผีเน่าโลงผุ
เอาล่ะ ถ้าอ่านมาถึง Chapter 4 นี้ แสดงว่าหลายๆ คน ตัดสินใจ ไปต่อ และมีกำลังใจไปต่อกันแล้วนะครับ
เราเข้าใจโครงสร้าง Grammar ทั้งหมดง่ายๆ บนกระดานเดียวกันไปแล้ว ใน Chapter 2 และเราเจาะลึกที่ตัวเพระเอก หรือ Verb แท้ กันไปแล้ว ใน Chapter 3 และสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจ ขาดไม่ได้เลยคือ ต้องเช็คต่อว่า พระเอกตัวนั้นเข้ากับนางเอก หรือ Subject ตัวหลัก ดังกิ่งทองใบหยกหรือไม่
ทุกครั้งก่อนแต่งประโยค … เริ่มประโยคง่ายๆ ด้วย การคิด Subject หรือ ประธานของประโยค (นางเอก) ของเรา และ กำหนดใจความของประโยคด้วย Verb แท้ (พระเอก) ของเรา และต้องไม่ลืมเช็คด้วยนะครับ ว่าพระเอกกับนางเอกมันเข้ากันได้ดีแล้วหรือยัง ใน 3 มิติ นี้ครับ
1. เช็คพจน์
มิติของการใช้ … ง่ายๆ ครับ ประธานของเราเป็นเอกพจน์ (Singular) หรือ พหูพจน์ (Plural) เราก็ผัน Verb ให้เข้ากับ Subject ที่เราเลือกใช้ได้เลย เช่น She has not paid the bill. / The students are in the class.
มิติของการทำข้อสอบ [ควรดูจาก Blog การสอบนั้นๆ เป็นหลัก … ทางเข้านะครับ blog.englishmeup.com] … คือเราต้องหาให้ได้นะครับว่า Subject หรือประธานของเราเป็นเอกพจน์ (Singular) หรือ พหูพจน์ (Plural) แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ ความสำเร็จขั้นแรก คือต้องแม่นในส่วนของประธานตัวหลัก และเราขอแค่ตัวเดียวนะครับ สำคัญโคตรๆ อย่าพลาดล่ะ ตัวอย่างเช่น
….. หลักการเบื้องต้นที่สุด เราจะดูหน้า preposition ตัวแรก เพราะหลัง preposition เป็นส่วนขยาย ทีนี้หลายคนที่เข้าใจ Basic ก็จะตอบว่า ….. 35 Percent และ 35 Percent ควรเป็นพหูพจน์ จริงป่ะ … อืมมันดู Logical ดีเนาะ แต่อย่าลืมหลักการเพิ่มเติมอีกอันนึงนะว่า ถ้าตัวหน้า preposition มันชี้พจน์ได้ชัด ไม่มีปัญหาเลยครับ เช่น one of the students แน่นอน one คือเอกพจน์
แต่กรณีนี้คือ 35% … เอ๊ะ! เรียนคณิตศาสตร์กันมา 35% ไม่ใช่จำนววนเต็มนี่หว่า เพราะมันคือ 35/100 หรือ เท่ากับ 0.35 … เห้ยทีนี้งงละ ปกติ 1 = เอกพจน์ ถ้า >1 = พหูพจน์ แล้วนี่อะไรอ่ะ 0.35 … ก็อย่าไปคิดเยอะ มันนับไม่ได้ก็ไม่ต้องไปนับ สรุปมันไม่เคลียร์ไม่ชัดเจนไง ซึ่งถ้าไม่ชัด ก็ย้อนกลับมาดูตัวข้างหลังมันก่อนเลยครับ …. อื้ม นั่นแหละ สรุป Subject (S) หลัก คือคำว่า the land และมันเป็นเอกพจน์ครับ หลังจากนั้นเราก็ไปเช็คจาก choice และลองตัด Choice กันดูครับ
… แค่ชี้ว่าประธานเป็นเอกพจน์ หรือพหูพจน์ ลูกเล่นตรึม กฎเยอะแยะไปหมดครับ แถมบางตัวแปลออกมาก็ก้ำกึ่งอีก อย่างเช่น เจอ Some ตัวเดียวโดดๆ เลย มันแปลว่า “บางสิ่ง” “บางอย่าง” “บางคน” … เห้ย! พอคิดแล้วก็ปวดหัว “บางอัน” นี่มันกี่อันหว่า 2 ประโยคนี้ ถ้าให้เลือก อาจารย์โจเชื่อว่า หลายๆ คน ลังเลแน่ๆ ว่าประโยคไหนถูกต้องกว่ากัน
Some student is …
คิดวนไปวนมาอยู่นั่น แล้วคำพวกนี้ก็ช่างแกล้งเรา เจอในห้องสอบอยู่เรื่อย >> เอาล่ะครับ อาจารย์โจไม่ปล่อยให้เดินเดียวดาย อยู่กับผมอะไรๆ ก็ง่าย อย่าลืมสิ เราลองมาสรุปพวกคำที่ตัดสินยากๆ แบบนี้ ไปพร้อมๆ กัน ในคลิปนี้กันดีกว่าครับ รอช้าอยู่ใย เปิดเลยเปิด ^O^
2. เช็ค Tense
มิติของการใช้ … ก็ง่ายๆ คือ อยากสื่อสารว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร ก็เลือกใช้ Tense ให้ถูกต้องเหมาะสม (ต้องเก่งกันมาจาก Chapter ก่อนๆ แล้วนะครับ)
โดยแต่ละข้อสอบ แม้จะมี Algorithm ต่างกันไป แต่ 3 Keys หลัก ที่ต้องระลึกไว้เสมอระหว่างทำโจทย์ คือ
- ไม่เน้นแปลตั้งแต่ต้น
- พยายามแบ่งประโยคออกเป็นท่อนย่อยๆ
- Focus ลำดับการพิจารณา Choice ตามลำดับความสำคัญเชิงโครงสร้างทางภาษา
ทั้งนี้เพื่อ
- Scope Down มิติของการคิดพิจารณา ไม่ให้ฟุ้งเกินไป จนจับหลักไม่ได้
- ทำโจทย์ได้เร็วขึ้น
- ลดความสะเพร่า
- ตัด Choice ผิดได้
3. เช็ค Voice
Passive Voice – ประธานถูกกระทำ คือ การเอา V.be + V.3 ยัดเข้าไปเพิ่มในพจน์ท้ายของทั้ง 12 Tenses โดยลักษณะการเกิดเหมือนเดิมทุกประการ
เช่น
Present Perfect
Active Voice: S + Have/Has + V.3
Passive Voice:
S + Have/Has + V.3
V. to Be + V.3
S + Have/Has + been + V.3
ลองผัน 12 Tense แบบ Active Voice ที่เราคล่องแล้ว เป็น Passive Voice ด้วยตัวเอง แล้วมาเช็คความถูกต้องไปด้วยกัน จากคลิปด้านล่างนี้เลยครับ
มิติของการใช้
keep it simple! ง่ายๆ เข้าไว้ …ใช้ Active Voice ไปเถอะครับ ก็เหมือนเราสื่อสารทั่วๆ ไป “ใครทำอะไร”
แต่ถ้าเริ่มแก่กล้า อยาก Look Cool! … จะใช้ Passive Voice ก็ไม่ว่ากัน โดยเฉพาะภาษาที่ค่อนข้างทางการ หรือในพวก Textbook ต่างๆ ก็จะนิยมใช้ Passive Voice ซะมากกว่า เนื่องจากไม่ได้เน้นว่าใครเป็นคนทำ แต่ต้องการอธิบายความให้กับผู้อ่านเป็นสำคัญ
เช่น The theory was then proven by Mr. Alan.
แทนที่จะใช้ Mr. Alan proved the theory.
>>> Passive ดูหรูหรากว่าจริงไหมครับ
มิติของการสอบ [ควรดูจาก Blog การสอบนั้นๆ เป็นหลัก… ทางเข้านะครับ blog.englishmeup.com] …
สุดท้ายและท้ายสุด คือเราต้องมาตัดสินว่า ประธานมันควรทำเอง (Active Voice) หรือ ถูกกระทำ (Passive Voice)
ซึ่งแน่นอนครับ การที่เรารู้ความหมายของคำศัพท์ 2 ตัว คือ S กับ V ที่เราระบุไว้ได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ต้น เป็นเครื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับเราพอสมควร … ซึ่งถ้าเรารู้ S&V ทั้ง 2 ตัว ก็ตอบได้ 100% หากรู้ตัวใดตัวหนึ่งก็ยังพอเดาได้ แต่หัวจะปวดถ้าไม่รู้ทั้ง 2 คำ
… แต่มันก็ไม่แน่หรอกนะ สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร บางครั้งบริบทรอบข้าง ก็ยังทำให้เราพอเดาได้ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะลองแถ เช่น
ลองดู Scope และมิติของการทำโจทย์ Error Detection ในข้อสอบ CU-TEP และวิธีการเดาศัพท์ เพื่อตัดสินว่าควรใช้ Active หรือ Passive voice ใน Choice ข้อ A กันครับ