TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities
TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities
TRUSTED BY 
10,000+ Students
10+ Leading Organizations & Universities

MENU IELTS Listening

ENG ME UP CHANNEL

Share :

Article 19

วิเคราะห์หน้าตาข้อสอบ IELTS Listening
เดินทางสู่คะแนน 6.5+

( IELTS Listening 1 )
Grammar เป็น Input ที่สำคัญมากๆ ในการนำไปใส่ใน Process และ Technique การทำคะแนน IELTS ในทุกพาร์ท ดังนั้น อาจารย์นุ้ย อยากให้นักเรียนได้เข้าไปอ่าน ไปทบทวน จาก 10 บทความเปลี่ยนทัศนคติต่อภาษาอังกฤษ โดยอาจารย์โจกันก่อนนะคะ https://blog.englishmeup.com/grammar

     พูดถึงข้อสอบการฟังปุ๊บ สิ่งแรกที่นักเรียนมักจะคิดถึงก็คือ…การฟังนั้นไม่ต้องฝึกหรอก ฝึกยังไงก็ฝึกไม่ได้เพราะการฟังเนี่ยมันเป็นเรื่องของความชำนาญต้องใช้บ่อยๆ พูดบ่อยๆ การฟังบ่อยๆ แต่อีกแป๊บเดียวหนูต้องสอบ IELTS แล้ว เวลาหนูก็มีจำกัดเท่านี้จะเอาเวลาที่ไหนไปฟังคะ หนูว่าหนูไปฝึกเขียนฝึกอ่านดีกว่า

     แต่…อย่าเพิ่งเทการฟังทิ้งไปนะคะ จริงอยู่ที่มันต้องอาศัยเวลาในการฝึกก็จริง แต่ก็อย่าลืมเหมือนกันว่าการฟังเนี่ยมันคือคะแนนของเราเหมือนกันและคะแนนที่ว่าเนี่ยก็หมายถึงตังค์ของเราเช่นกัน ค่าสอบก็แพงแบบที่จ่ายทีหน้าซีดไปหลายวัน ดังนั้นเราก็อยากได้คะแนนที่ดีที่สุดถูกไหมคะ

     ถ้าใครสิ้นหวังกับการฟังก็อย่าเพิ่งเศร้าใจไป และอย่าพึ่งคิดว่าจะไม่มีหนทางพัฒนา เพราะวันนี้อาจารย์นุ้ยจะมาเปิดโปงและแฉข้อสอบพาร์ตการฟังให้ดูถึงที่ รวมทั้งเปิดเผยเทคนิคอันน่าสนใจในการทำข้อสอบ part การฟัง ที่แม้ว่าถึงเราจะฟังไม่ได้ แล้วสุดท้ายต้องเดา แต่ก็ขอให้เดาอย่างมีทิศทางเดาให้ได้คำตอบที่ถูกต้องค่ะ

(ขึ้นชื่อว่าคำตอบที่ถูกต้องแล้ว…ไม่ว่าจะยังไงมันก็คือคะแนนค่ะ ดังนั้นอย่าสนใจที่มาของคำตอบเลย จะรู้จริงหรือจะเดายังไงเราตอบถูกเป็นอันโอเค 555)

     สำหรับข้อสอบการฟังแล้ว เขาจะให้เวลามาทั้งหมด 40 นาที เป็นเวลาฟังเทศน์ เอ้ย ฟังเทปทั้งหมด 30 นาที ที่นี้ก็ให้โฟกัสกับการฟังเทปโดยเฉพาะเลยค่ะ และให้ extra time คือ เวลากรอกคำตอบลงกระดาษคำตอบอีก 10 นาที ซึ่งสิ่งที่ทุกคนต้อง keep in mind ก็คือลอกคำตอบลงกระดาษคำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด ทั้งนี้ข้อสอบ Listening แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน

ส่วนที่ 1

     เป็น Conversation หรือบทสนทนาของคน 2 คนโดยที่เนื้อหานั้นจะเป็นเนื้อหาทางด้านสังคมทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น การจองโรงแรม การจองรถออกจากสนามบิน และเนื้อหาจะเป็นเรื่องของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ยกตัวอย่าง เช่น ชื่อ เบอร์โทร. ที่อยู่ ชื่อเมือง หรือพวกชื่อเฉพาะ เป็นจำนวนมาก เช่น

BUSINESS NATIONWIDE
Courses available:
Name of Course: (0) Getting Started
Time: Two hours from (1) __________________
Cost: Free
Course Content: Is starting a business right for me?
Writing a (2)
Some legal issues
Nearest Location: Handbridge
Next Course Date: 20th March
Name of Course: (3) __________________
Length of course: (4) __________________
Cost: (5) __________________or £20 for recently unemployed
Course Content: Day One: Legal Issues
Day Two: Marketing and Pricing
Day Three: Accounting and (6) __________________
Nearest Location: Renton
Next Course Date: 5th March or (7) __________________
CALLER’S DETAILS
Name: (8) __________________
Address: (9) __________________, Eastleigh
email: (10) __________________

     ลักษณะจะเป็นโน้ตให้มาแล้วให้เติมคำในช่องว่างนั่นเองค่ะ เราควรจะ focus ให้ดีว่าเขาถามอะไร ยกตัวอย่างเช่น ข้อ 10 ถาม e-mail เราก็ต้องตอบเป็น e-mail นะคะ

ส่วนที่ 2

     จะเป็นบทพูดคนเดียวหรือ Monologue โดยที่บทพูดคนเดียวในที่นี้จะมีเนื้อหาเป็นเรื่องทั่วไปของสังคม สำหรับลักษณะของคำถามก็จะหลากหลายขึ้นมาค่ะ ไม่ใช่แค่การโน้ตข้อมูลอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจจะเป็นให้แผนที่มาแล้วให้เราฟังเขาบรรยายทิศทางหรือที่ตั้งของสถานที่ หากเราแม่นคำศัพท์จำพวกสถานที่ที่ตั้งทิศทาง besides, between, opposite, in front of, behind ฯลฯ จะทำให้เราทำข้อสอบได้ไวขึ้น

ส่วนที่ 3

     เป็นบทสนทนา หรือ Conversation ตั้งแต่ 2 คนถึง 4 คนเป็นต้นไป ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับการศึกษา หรือการฝึกอบรม การเลือกหัวข้อการทำรายงานเป็นต้น และสิ่งที่ต้องระวังดีๆ คือจะมีการหลอกที่เข้มข้นขึ้น มีการแสดงความคิดเห็นของผู้พูดเกิดขึ้น และอาจกลับไปกลับมาได้ เช่น บางทีคำถามเขาก็จะถามว่าใครไม่พอใจอะไร หรือนักเรียนคนนี้อยากทำรายงานเรื่องอะไร แล้วก็วกไปวนมาสองสามรอบก่อนจะเข้าเรื่องก็มี

ส่วนที่ 4

     ก็คือ Talk หรือ Speech การพูดคนเดียว โดยเนื้อหาจะเน้นหนักไปที่ความรู้ทางด้านการศึกษาในศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม สังคมศาสตร์ หรือภาษาศาสตร์ เป็นต้น ดังนั้น จึงเป็นส่วนที่มีศัพท์เฉพาะมากที่สุด และเนื้อหาก็ยากที่สุดเช่นกันค่ะ นอกจากนี้ ในส่วนของการหลอก ก็จะมีการหลอกที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ในตัวข้อสอบเองจะมีประเภทของคำถามอยู่ 2 ถึง 3 ชุด ยกตัวอย่างเช่น Flowchart, Summary, หรือ Note ดังนั้น ต้องฟังลำดับความให้ดี และฟังคำจำพวก transition signals ซึ่งผู้พูดจะส่งมาเป็นระยะๆ เพื่อให้ผู้ฟังสามารถ catch up ได้ทันค่ะ

How to Use ENG ME UP Blog

Play Video

เนื่องจากเนื้อหา “Mini Book” เตรียมสอบ IELTS มีความต่อเนื่องกัน อาจารย์แนะนำให้ศึกษาตามลำดับ โดยเริ่มจาก Chapter 1
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ

เนื่องจากเนื้อหา “Mini Book” เตรียมสอบ IELTS มีความต่อเนื่องกัน อาจารย์แนะนำให้ศึกษาตามลำดับ โดยเริ่มจาก Chapter 1
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดครับ